Creator Self Care อนาคตเป็นสิ่งที่สร้างได้ Self Start up

   Creator อนาคตสร้างได้ด้วย Self Startup

นักวางแผนการเงินและการลงทุนอิสระ

  ในยุคที่อาชีพอิสระกำลังอยู่ในความสนใจของคนรุ่นใหม่ ความต้องการทำงานแบบไร้ข้อผูกมัดทั้งด้านเวลาและสถานที่มีมากขึ้นเรื่อย ๆ หลายคนมองหาโอกาสเป็นนายตัวเอง หลายคนบอกลางานประจำและเผชิญกับความท้าทายของการทำงานอิสระอย่างเต็มรูปแบบ เราจึงขอนำเสนอ creator สร้างรูปแบบธุรกิจที่ง่ายกับทุกคนเพียงแค่เรียนรู้ระบบแล้วสร้างระบบธุรกิจของคุณเองด้วยการแบ่งปันความรู้ธุรกิจแล้วช่วยให้คนที่เข้ามาเป็นสมาชิกในกลุ่มของคุณเข้าใจเรียนรู้ระบบสามารถสร้างกลุ่มผู้บริโภคได้ นี่คือที่มาของนักวางแผนการใช้ชีวิต

          เป็นนักวางแผนการเงินและการลงทุนอิสระ หรือ Independent Investment Planner (IIP) คือตัวเลือกที่น่าสนใจมากสำหรับผู้ที่มองหาอาชีพอิสระในยุคนี้ หรือคนรุ่นใหม่ที่ต้องการบริหารเวลาได้เอง สามารถกำหนดรูปแบบการทำงานได้เต็มที่ ที่สำคัญคือไม่ต้องอยู่ภายใต้ข้อผูกมัดขององค์กรใด ๆ อยากเกษียณเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ยิ่งมาเรียนรู้กับเรายิ่งได้เครื่องมือที่เหนือชั้น ในท้องตลาดมีผู้ผลิต ผลิตภัณท์เหมือนเรา นับรายได้คู่แข่งน้อย ไร้กังวลเรื่องการปล่อยมลพิษทำให้โลกร้อน

          อาชีพนักวางแผนการลงทุนอิสระ (IIP) เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าที่ปรึกษาการสร้างธุรกิจและการลงทุน หรือผู้แนะนำการลงทุน มีหน้าที่ให้คำปรึกษา แนะนำการบริหารการเงินและการลงทุนให้กับลูกค้าตามความเหมาะสม และตามเงื่อนไขของผู้ลงทุน จัดว่าเป็นอาชีพอิสระที่มาแรงอีกอาชีพหนึ่ง เนื่องจากทุกวันนี้คนส่วนมากเริ่มให้ความสำคัญกับการวางแผนการเงิน และต้องการลงทุนเพื่อต่อยอดเงินออม ที่สำคัญคือการเตรียมความพร้อมสำหรับการเกษียณอย่างมั่นคง ซึ่งอาชีพนักวางแผนการลงทุนอิสระ (IIP) สามารถเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการนี้ได้ และกำลังเป็นที่ต้องการของลูกค้าในปัจจุบัน

          โอกาสในการสร้างรายได้ของคุณมาเป็นนักวางแผนการลงทุนอิสระ(IIP) ให้การดูแลและให้คำแนะนำการบริโภคผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมแก่ลูกค้าผู้บริโภคสามารถสร้างรายได้ให้คุณแบบไม่มีเพดาน ยิ่งทำมาก ก็ได้มาก ตามความสามารถในการแนะนำการสร้างกลุ่มผูบริโภคซึ่งระบบจะมอบส่วนแบ่งปันผลให้เป็นรายได้ของคุณเป็นรายเดือน โบนัสรายปี ปันผลเงินเพิ่มพิเศษรายปีและรางวัลพิเศษอี่นๆ อีกมากมาย 

ปันผลทั้งหมดจะถูกโอนให้กับคุณ คุณจะได้รับความรู้และเทคนิคต่างๆ สามารถเลือกมาสร้างธุรกิจของคุณอย่างมั่นใจ ให้คุณได้รับประโยชน์มากที่สุด คุณจะเป็นนักธุรกิจอิสระที่สามารถสร้างทีมและบริหารเครือข่ายได้ในสไตล์ของตัวเอง พร้อมรับปันผลอีกต่อเมื่อช่วยเหลือให้ทีมสามารถสำเร็จเป็นเจ้าของธุรกิจและผลตอบแทนนี้จะดีที่สุดมากกว่าการลงทุนอื่นๆปันผลจะกลายเป็นเป็นผลลิขสิทธิ์ดีกว่ารายได้ที่เราได้รับปันผลมาจากจากระบบเครือข่ายที่เราสร้างขึ้นมา


เรียนรู้ลงทุนแบบ DCA คืออะไร ทางเลือกที่ไร้ความเสี่ยง

นำเงินที่ได้จากธุรกิจมาลงทุนต่อไปที่ได้ดอกเบี้ยมากกว่าเราฝากเงินไว้ในธนาคาร เราจะนำมาลงทุน การลงทุนแบบ Dollar-Cost- Averaging (DCA) คือเป็นการลงทุนโดยถัวเฉลี่ยต้นทุนโดยลงทุนด้วยจำนวนเงินที่เท่าๆกัน ในระยะเวลาหนึ่งอย่างต่อเนื่อง เช่น ลงทุนทุกวันที่ 15 ของทุกเดือน หรือ ลงทุนในช่วงต้นเดือนหลังจากเงินเดือนออก ซึ่งจะช่วยสร้างวินัยในการออม และการลงทุน อีกทั้งยังมีข้อดีอื่นๆ อีกดังนี้

1. บริหารจัดการภาวะความกลัวและความโลภที่จะเกิดกับนักลงทุน

     ด้วยความที่ตลาดเคลื่อนไหวผันผวน จากข่าวสารและข้อมูลต่าง ๆ ทั้งเรื่องเศรษฐกิจโลก นโยบายการเงินของธนาคารกลางแต่ละประเทศ หรือผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ส่งผลให้ในช่วงที่มีข่าวดีนั้น ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นไปอย่างมาก เช่น ปรับตัวสูงขึ้น 10% ภายในเดือนเดียว ก็อาจส่งผลให้นักลงทุนเกิดภาวะ “โลภ” ในเงินจำนวนมาก เพราะคาดว่าในอนาคตก็จะได้ผลตอบแทนประมาณ 8-10% เหมือนช่วงที่ผ่านมา แต่ความเป็นจริงแล้ว ตลาดอาจปรับตัวลดลง ซึ่งจะทำให้เกิดการขาดทุนอย่างหนักได้

แต่ในทางกลับกัน หากตลาดปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง เช่น ปรับตัวร่วงลง -15% นักลงทุนก็จะเกิดภาวะ “กลัว” ส่งผลให้นักลงทุนจะไม่กล้าเข้าลงทุนในช่วงที่ตลาดปรับตัวลง ส่งผลให้ไม่ได้กำไรจากการฟื้นตัวของตลาดกำไรจากการฟื้นตัวของตลาด ซึ่งการใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ  DCA จะขจัดอารมณ์ของนักลงทุนออกไป ส่งผลให้การตัดสินใจของนักลงทุนจะอยู่ที่เพียงว่า ลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใด หรือตลาดหุ้นประเทศไหนมากกว่าการที่จะต้องมากังวลกับการจับจังหวะตลาด




2. ลดความเสี่ยง และความผันผวนของพอร์ตการลงทุน

การลงทุนแบบ DCA จะช่วยลดความเสี่ยง และความผันผวนของการลงทุนได้ เนื่องจากการที่เราเฉลี่ยต้นทุนในการลงทุน ตัวอย่างเช่น หากลงทุนในช่วงที่ตลาดเกิดการปรับตัวรุนแรง เช่นช่วงปี 2020 ที่มีสถานการณ์โควิด-19 ถ้าหากลงทุนแบบครั้งเดียว (Lump-sum) ช่วงต้นปีในตลาดหุ้น S&P500 ก็จะมีเดือนที่ขาดทุนสูงสุดถึง -20% และเมื่อสิ้นปี จะได้ผลตอบแทน อยู่ที่ 16.26%

แต่หากเราลงทุนแบบ DCA ก็จะทำให้เดือนที่ขาดทุนมากที่สุดลดลงเหลือเพียง -17.46% และเมื่อตลาดฟื้นตัวกลับมา ก็ยังได้ผลตอบแทนสิ้นปี 2020 อยู่ที่ 19.26% มากกว่าการลงทุนแบบครั้งเดียวอีกด้วย ดังนั้นการลงทุนแบบ DCA จึงเหมาะสำหรับนักลงทุนที่ไม่ต้องการให้เงินลงทุนผันผวนมาก แต่ต้องการลงทุนระยะยาวเพื่อสร้างผลตอบแทนต่อเนื่อง และสม่ำเสมอ หรือนักลงทุนที่ยังไม่มีเวลาติดตามข่าวสาร สภาวะตลาดต่าง ๆ เพื่อที่จะจับจังหวะในการเข้าลงทุน



ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่มีแต่ข้อดี 100% แน่นอนว่ากลยุทธ์ DCA ก็เช่นกัน แม้ว่าการลงทุนแบบ DCA จะมีข้อดีหลายข้อแต่ก็มีจุดอ่อนอยู่ ซึ่งก็คือ “หากตลาดเป็นขาขึ้น จะได้รับผลตอบแทนน้อยลง” เพราะการลงทุนแบบ DCA เมื่อเทียบกับการลงทุนแบบครั้งเดียว (Lump-sum) ในจำนวนเงินที่เท่ากัน จะทำให้พลาด “ผลตอบแทนทบต้น” หากผลตอบแทนของสินทรัพย์ที่ลงทุนมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หรือตลาดหุ้นอยู่ในภาวะกระทิง (Bullish)

จากการจำลองตัวอย่างจากตารางข้างล่างนี้ จะเห็นได้ชัดว่า การลงทุนแบบครั้งเดียวได้ผลตอบแทน 15.87% สูงกว่าการลงทุนแบบ DCA ที่ได้เพียง 10.64%


ไม่เก่ง...ก็รวยได้!! รวม 5 วิธีเริ่มวางแผนการเงิน ฉบับคนรุ่นใหม่ 

“ฉันไม่อยากเป็นคนเก่ง ฉันอยากเป็นคนรวย ...เพราะฉันอยากมีชีวิตที่ ชิว ชิว!” เป็นวลีสุดฮิต ที่สะท้อนถึงความในใจของคนรุ่นใหม่ ได้เป็นอย่างดี

เพราะคนเหล่านี้รู้ดีว่า หากเอาแต่นั่งหลังขดหลังแข็งทำแต่งานๆๆๆๆ คงเป็นเรื่องยากที่จะลืมตาอ้าปากได้ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจในทุกวันนี้ 

คนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน หรือ First Jobber อาจมองว่า การประสบความสำเร็จด้านการเงินในยุคนี้ เป็นเรื่องยาก เพราะมีข้อจำกัดหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นค่าครองชีพที่สูง และภาระที่ต้องรับผิดชอบเต็มไปหมด แต่การสร้างฐานะ ก็ยังคงเป็นเป้าหมายสำคัญของคนรุ่นใหม่อยู่ดี ที่สำคัญคือ ยิ่งเราเริ่มสร้างฐานะได้รวดเร็ว ก็ยิ่งได้เปรียบ แล้วแบบนี้ เราจะเริ่มต้นวางแผนการสร้างชีวิตอย่างไร ให้มีปันผลใช้ในระยะยาวแบบไม่ลำบาก    

วันนี้เรา ขอนำเสนอรูปแบบใหม่ของการสร้างได้แบบง่ายๆ …แค่มีความรู้ให้เป็นครีเอเตอร์ได้

1. เรียนรู้และดูแลสุขภาพของคุณให้มีสุขภาพแข็งแรง
    สำหรับใครที่อยู่ในช่วงเพิ่งเริ่มต้นทำงาน โดยเฉพาะเด็กจบใหม่ ควรวางแผนค่าใช้จ่ายในยามเกษียณของตัวเองคร่าว ๆ โดยประเมินจากไลฟ์สไตล์ที่ตัวเองออกแบบไว้ ซึ่งควรคำนึงถึงค่าใช้จ่ายที่ครอบคลุม ทั้งค่ากินอยู่ ค่ารักษาพยาบาล ค่าใช้จ่ายเพื่อปรนเปรอตัวเอง ตลอดจนเงินบริจาคให้แก่สังคม 

ซึ่งถ้าถามว่าแล้วแบบนี้ เราควรมีเงินจำนวนเท่าไรในช่วงที่เกษียณอายุ เราสามารถอิงได้จากสมการ “จำนวนเงินที่ควรมีเมื่อเกษียณ = ค่าใช้จ่ายต่อปีหลังเกษียณ x จำนวนปีที่จะใช้ชีวิตในช่วงเกษียณ” 

เช่น ถ้าเราประเมินว่าจะมีค่าใช้จ่ายต่อปีที่ 200,000 บาท แล้วจะใช้ชีวิตในช่วงเกษียณ 20 ปี เท่ากับว่า เราควรมีเงินก้อนนี้ราว 4,000,000 บาท 

2. อย่าก่อหนี้ ถ้าไม่จำเป็น
แม้การเป็นหนี้จะมีข้อดีอยู่บ้าง แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เหมาะกับการเป็นหนี้ โดยเฉพาะการก่อหนี้ที่ไม่ได้จำเป็นในชีวิต เพื่อสนอง Need ของตัวเอง เช่น ถอยรถยนต์คันใหม่ ทั้ง ๆ ที่รถยนต์คันเก่ายังใช้งานได้ดีอยู่ หรือการยอมเป็นหนี้เพื่อซื้อของฟุ่มเฟือยทั้งที่ไม่จำเป็น

ซึ่งการก่อหนี้ ไม่เพียงแต่เป็นภาระที่คอยฉุดรายได้ไปจากกระเป๋าของเราเท่านั้น แต่ยังลดคุณภาพชีวิต และทำให้เสียเครดิตทางการเงินอีกด้วย เพราะฉะนั้น เราจึงควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้เงิน โดยเริ่มจากลดการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย รวมไปถึงการฝึกให้ตัวเองรู้จักยับยั้งชั่งใจ  


3. เริ่มเก็บออม ตั้งแต่วันนี้
“เงินออม” เป็นเงินก้อนที่มีสัดส่วนสำคัญอย่างมากในทุกช่วงวัยของชีวิต โดยเฉพาะในช่วงวัยเกษียณอายุ ที่เราไม่มีรายได้จากงานประจำ แต่ต้องอาศัยเงินออมที่สะสมมาในการดำรงชีวิตแทน 

ซึ่งสำหรับคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน ควรเริ่มออมเงินตั้งแต่เนิ่น ๆ โดยอาจเริ่มต้นจากการเก็บเงิน 5-10% จากรายได้ต่อเดือน จากนั้น เมื่อเรามีรายได้มากขึ้น เงินเก็บของเราก็จะพอกพูนขึ้น สิ่งสำคัญของการออมคือ การมีวินัยในการออมเงินที่สม่ำเสมอ

4. ลงทุน ให้เป็นเงินออมถึงงอกเงย
การจะออมเงินให้งอกเงยนั้น แค่ฝากเงินในบัญชีธนาคารอาจไม่ใช่ตัวเลือกที่น่าดึงดูดเท่าไร เพราะอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ไม่สามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้ ดังนั้น ถ้าเราอยากมีเงินตามเป้าหมายที่วางไว้ ก็อาจต้องมองหาตัวเลือกอื่น ๆ ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝาก นั่นคือการลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ นั่นเอง 

แต่ถ้าใครนึกไม่ออกว่าจะลงทุนในสินทรัพย์ประเภทไหนดี ก็อาจจะเริ่มต้นลงทุนผ่านกองทุนผสม ที่มีหลากหลายสินทรัพย์ ซึ่งจัดพอร์ตมาให้แล้ว สามารถลงทุนได้ทุกสถานการณ์ แถมมีความเสี่ยงปานกลาง

ซึ่งผลตอบแทนจากการลงทุนสามารถงอกเงยได้มากขึ้น จากพลังดอกเบี้ยทบต้น ด้วยการนำดอกเบี้ยที่ได้มาลงทุนทบต้นต่อไปเรื่อย ๆ สะสมกำไร จนกลายเป็นเงินก้อนใหญ่ได้มากขึ้นนั่นเอง  

5. เพิ่มรายได้ และควบคุมรายจ่าย 
ใครที่รู้สึกว่าเก็บออมก็แล้ว ลงทุนก็แล้ว แต่ทำไมเป้าหมายทางการเงินยังอยู่ไกลเกินเอื้อมอยู่ 
ก็ถึงเวลาแล้ว ที่อาจจะต้องมองหาแหล่งรายได้ช่องทางอื่นเพิ่มเติม เช่น ทำงานเสริมนอกเวลา 
ควบคู่กับการควบคุมรายจ่าย ไม่ใช้เงินเกินกว่ารายได้ เพียงเท่านี้ ก็เพิ่มโอกาสให้เรามีเงินเก็บที่มากขึ้น 
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว คงจะเห็นได้ว่า แม้เราจะเป็นแค่คนทำงานธรรมดา ที่ไม่ได้เก่งเข้าขั้นอัจฉริยะ 
"แต่เราก็สามารถสร้างฐานะให้กับตัวเองได้ แค่วางแผนการเงินให้ถูกวิธี" 
พร้อมทั้งเริ่มต้นลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อย เพื่อที่จะไม่ต้องมาบ่นเสียดายในภายหลังว่า.. รู้อย่างนี้ เริ่มออมเงิน และลงทุนไปนานแล้ว

หมายเหตุ ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน



เริ่มต้นของความสำเร็จด้วยความฝัน

ความสำเร็จ คือการเตรียมตัวให้พร้อมที่จะเปิดรับทุกโอกาส หรือคุณเป็นคนสร้างโอกาสสู่ความสำเร็จด้วยตัวคุณเอง

“Lease It” เราช่วยให้ความสำเร็จของคุณสร้างได้แบบง่ายๆ

สร้างธุรกิจให้ดี ทำในสิ่งที่คุณตั้งใจทุ่มให้สุดตัว แล้วพุ่งไปหาโอกาส ด้วยวิสัยทัศน์อย่างผู้นำ

ไม่ว่าคุณจะออกแบบโอกาสให้ธุรกิจแบบไหน เราจะผลักดันศักยภาพธุรกิจคุณให้ไปไกลยิ่งขึ้น

หลุดกรอบความกังวลเรื่องเงินหมุนเวียน ด้วยสินเชื่อเพื่อหมุนเวียนธุรกิจ

เพียงคุณมีคู่ค้าหน่วยงานราชการ / รัฐวิสาหกิจ / บริษัทเอกชนขนาดใหญ่ / บริษัทมหาชน

วงเงินสินเชื่อเพื่อหมุนเวียนธุรกิจ

✔️อนุมัติภายใน 3 วัน* (หลังจากได้รับเอกสารครบถ้วน)

✔️ ไม่เน้นหลักทรัพย์ค้ำประกัน*

✔️ให้คำปรึกษาเรื่องเงินทุนหมุนเวียนธุรกิจครบวงจร

* เงื่อนไขการพิจารณาเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

ปรารถนาให้ผู้คนมีสุขภาพและสุขภาวะที่ดี จึงทุ่มเทเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีความโดดเด่นทั้งในด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัย เราเป็นเจ้าของฟาร์มออร์แกนิคซึ่งเป็นแหล่งของส่วนผสมชั้นเยี่ยมที่มาจากธรรมชาติ เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ของเรา บริสุทธิ์ ปลอดภัย ได้ผลดี และยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นอกจากนั้น ยังมีการลงทุน

นำเอากลยุทธ์ทั้ง 5 ข้อนี้ไปปรับใช้กับธุรกิจของคุณให้ทันต่อยุค 4.0 ได้เรามาเริ่มกันเลยครับ

     1. คุณต้องเข้าใจในความต้องการของลูกค้า  และต้องสร้างความแตกต่างให้กับสินค้าของคุณ

         ในยุคการตลาดแบบดั้งเดิม นั้นเน้นที่ความต้องการของผู้บริโภค และกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นหลัก ลูกค้าต้องการแบบใด ก็ให้ตอบสนองด้วยการออกแบบสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการนั้น แต่ในยุคการตลาดสมัยใหม่ 4.0 นั้น แค่การตอบสนองความต้องการของลูกค้าเป้าหมายอย่างเดียวไม่พอครับ  คุณจะต้องสร้างความแตกต่างให้กับสินค้า และบริการของคุณด้วย เหตุเป็นเช่นนี้ เพราะมีสื่ออินเตอร์เน็ต โดยเฉพาะสื่อสังคมออนไลน์ Social Network เข้ามาช่วยในการตัดสินใจของลูกค้า ความแตกต่างจะทำให้เกิดการแชร์ การบอกต่อกันในสื่อสังคม จนเกิดเป็นกระแสขึ้นมา  ดังนั้น คุณต้องกลับไปดูสินค้า และบริการของคุณแล้วหล่ะครับว่า คุณแตกต่างบ้างใหม่ เมื่อหาเจอแล้ว ก็ทำการสื่อสารออกไป ที่ต้องระวังคือ ความแตกต่างนั้น จะต้องเป็นแบบฉบับเฉพาะของสินค้าของคุณเอง ห้าม Copy เลียนแบบเด็ดขาดน่ะครับ  ข้อมูลมันไปไว เห็นไว น่ะครับสมัยนี้ เตือนไว้ก่อน

      2. สร้างช่องทางออนไลน์  กับออฟไลน์ ควบคู่กันไป

         เป็นความเข้าใจผิดอย่างมากเลยครับ ว่า หากมีการเน้นการทำการตลาดในออนไลน์แล้ว ในแบบออฟไลน์จะไม่มีความสำคัญอีกต่อไป หากคุณคิดแบบนี้คุณกำลังเข้าใจผิดอย่างแรง ผมไม่ปฏิเสธว่า การตลาดออนไลน์มาแรงจริงๆ แซงทุกทางโค้ง แต่อย่างน้อยคุณต้องมีการตลาดออฟไลน์ควบคู่กันไปด้วย การสื่อสารแบบปากต่อปากยังคงสำคัญอยู่อย่าทิ้งเด็ดขาดครับ แต่ในกรณีที่คุณทำออนไลน์อย่างเดียวอยู่แล้ว คุณก็อย่าลืมเข้าสังคมของ มนุษย์บ้างน่ะครับ อย่าเข้าสังคมออนไลน์อย่างเดียว ถึงอย่างไรคุณก็ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคน ซื้อขายกับคนอยู่  ยกตัวอย่างน่ะครับ ขนาด Amazon แหล่งขายของออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ยังต้องมีการเปิดหน้าร้าน เพื่อให้คนไปจับจ่าย  ฉะนั้นคุณควรมีหน้าร้าน เพื่อเป็นการส่งเสริมแบรนด์ของคุณด้วย

       3. การลงทุนด้านเทคโนโลยีในธุรกิจ หรือการทำการตลาดจะไม่ได้ผลเลยครับ หากบุคลากรในองค์กร ธุรกิจของคุณ ไม่ Transformation หรือไม่รับกับความเปลี่ยนแปลง

        หลายๆ ธุรกิจ ได้มีการนำเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีการประมวลผล เทคโนโลยีการผลิตเข้ามาใช้ในธุรกิจ เพื่อให้ทันในยุค 4.0 เป็นเรื่องที่ดีมากครับในการนำเทคโนโลยีมาใช้ แต่ประสิทธิภาพ ประสิทธิผล จะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าพนักงาน หรือคนในองค์กรธุรกิจของคุณไม่รับกับความเปลี่ยนแปลง ต้นการเปลี่ยนแปลง ฉะนั้นหากคุณต้องการที่จะนำเทคโนโลยีใดๆ ก็ตามมาใช้ในธุรกิจ คุณต้องชี้แจงถึงความจำเป็น เหตุผลของการนำเทคโนโลยีเข้ามา ให้กับพนักงานของคุณทราบด้วย และต้องมีการอบรมทำความเข้าใจระบบทุกครั้งครับ  ที่สำคัญระดับบริหารในธุรกิจต้องเตรียมรับกับความเปลี่ยนแปลง ไปพร้อมๆ กับพนักงานด้วยน่ะครับ

      4. กระบวนการผลิต และการบริการต้องรวดเร็วไม่ควรให้ลูกค้า ต้องรอสินค้านาน

         ผมเน้นแล้วว่ายุคนี้เป็นยุคแห่งอินเตอร์เน็ต ยุคที่ผู้คนพบหน้าค่าตากันได้ด้วยเวลาไม่ถึงนาที การมีเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในการตัดสินใจซื้อของลูกค้า การที่ลูกค้าสั่งสินค้าไปแล้ว แต่ปรากฎว่าล่าช้ากว่ากำหนดไว้มาก ลูกค้าในปัจจุบันจะไม่ค่อยรอสินค้า  เพราะยังจะมีสินค้าแบบเดียวกันให้เลือกอีกในอินเตอร์เน็ต  ฉะนั้นคุณต้องวิเคราะห์ดูทันทีว่า ธุรกิจของคุณมีกระบวนการอันไหนที่ช้าสุด เมื่อพบแล้วก็ดำเนินการแก้ไขเลยครับอย่ารอ  ไม่งั้นเสร็จคู่แข่งหมดน่ะครับ

       5. เลื่อกการสื่อสาร ช่องทางการสื่อสาร แพลตฟอร์ม ให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย

          เลือกช่องทางการสื่อสารสินค้า และบริการของคุณให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดไว้ ดูถึงพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย เช่นกลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มวัยรุ่น สมัยใหม่ ก็ควรเลือกทำการสื่อสารในช่องทางสมัยใหม่ทั้งหลายให้มากที่สุดเช่น เช่น โฆษณาทางสมาร์ทโฟน  การทำสติ๊กเกอร์ไลน์สื่อถึงสินค้าของคุณ การโฆษณาใน Facebook เป็นต้น  จะดีหรือครับ หากกลุ่มลูกค้าที่เป็นวัยรุ่น แต่เลือกช่องการสื่อสาร และโฆษณา ทางวิทยุ AM แบบนี้ก็ไม่ใช่แล้วครับ  นี่เป็นเหตุผลไงครับที่ต้องเลือกข้อ 1 ต้องเข้าใจความต้องการของลูกค้า และกลุ่มเป้าหมายก่อนนั่นเองครับ

        เป็นอย่างไรบ้างครับ กลยุทธ์การทำการตลาดยุค 4.0 ที่สรุปมาให้อ่านกัน คุณสามารถนำเอากลยุทธ์ที่กลั่นมานี้ ใช้กับการทำการตลาดกับสินค้า และบริการของคุณ แต่คุณในฐานะผู้ประกอบการ เจ้าของกิจการ ต้องก้าวให้ทันกับเทคโนโลยีที่เกี่ยวของให้มากที่สุด  การหยุดนิ่งอยู่กับที่ในการตลาด การทำธุรกิจยุค 4.0 คือการฆ่าตัวตายในยุคใหม่นี้โดยแท้

แนะนำแนวคิดทางธุรกิจโดยลุงฮง

ไพโรจน์ จิวตระกูลวงศ์ หมายเลขสมาชิกธุรกิจ 7010903067

โทรและไลน์  081-6032249

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

สุขภาพดีมีได้ทุกๆวัน

เทรนที่จะนำคุณไปสู่ความมั่งคั่ง

มอบโอกาสที่ดีที่สุดเพื่อคุณทุกคน