มอบโอกาสที่ดีที่สุดเพื่อคุณทุกคน
ในปี 2030 ปีที่เราจะเริ่มเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0
ทำความรู้จักอันตรายในอาหาร
โดย สมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางอาหารแห่งประเทศไทย (FoSTAT) การรับประทานอาหารเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตประจำวันของทุกคน การรับประทานอาหารก่อให้เกิดพลังงานและประโยชน์ต่อร่างกาย แต่หากอาหารเหล่านั้นไม่มีการควบคุมและป้องกันที่เพียงพออาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภคตามมา ซึ่งจะส่งผลเสียต่อผู้ผลิตเช่นกัน อันตรายเหล่านี้เราเรียกว่า อันตรายในอาหาร วันนี้เราจะมาทำความรู้จักและเข้าในเกี่ยวกับอันตรายในอาหารกัน
อันตรายในอาหาร (Food Safety Hazards) อันตรายที่เกิดขึ้นจาก สารทางชีวภาพ เคมี หรือทางกายภาพที่มีอยู่ในอาหารโดยมีศักยภาพที่ก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพตามมา โดยสามารถแบ่งออกเป็น 1) อันตรายทางกายภาพ 2) อันตรายทางชีวภาพ 3) อันตรายทางเคมี (ซึ่งรวมอันตรายถึงสารก่อภูมิแพ้และสารกัมมันตรังสี)
1) อันตรายทางกายภาพ คือ วัตถุแปลกปลอมที่มีลักษณะแข็งหรือแหลม เช่น แก้ว พลาสติกแข็ง โลหะ ไม้ กวด เป็นต้น ซึ่งอาจก่อให้เกิดการทิ่มแทง หรือเกิดปัญหาสุขภาพตามมา
การควบคุมและป้องกันการเกิดอันตรายทางกายภาพ อาจทำได้โดย การตรวจสอบวัตถุดิบในการรับเข้า การตรวจสอบ คัดแยก คัดกรองต่างๆ ตลอดจนการบำรุงรักษาโครงสร้าง เครื่องจักร อุปกรณ์ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการผลิต สิ่งแวดล้อมโดยรอบ หรือมีโอกาสสัมผัสผลิตภัณฑ์ ให้สภาพสมบูรณ์ ไม่ชำรุด จนทำให้หล่นปนเปื้อนในผลิตภัณฑ์ได้ ควบคุมสุขลักษณะส่วนบุคคลให้พร้อมเพื่อป้องกันสิ่งแปลกปลอมไม่ให้เข้าไปปนเปื้อนอยู่ในอาหารที่อาจก่อให้อันตรายตามมาได้
2) อันตรายทางชีวภาพ คือ จุลินทรีย์ที่อาจก่อให้เกิดโรคหรือก่อเกิดอาการเจ็บป่วยตามมาหลังการรับประทาน เช่น แบคทีเรีย ไวรัส พาราไซต์ รา โปรโตซัว พยาธิ เป็นต้น
การควบคุมและป้องกันการเกิดอันตรายทางชีวภาพ อาจทำได้หลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการทำการป้องกัน ควบคุม หรือกำจัด ผ่านวิธีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมคุณภาพวัตถุดิบ การดูแลรักษาความสะอาดของสิ่งแวดล้อมในการผลิต การแช่เย็น แช่แข็ง การให้ความร้อนหรือการลดปัจจัยการอยู่รอดด้วยวิธีต่างๆ เพื่อควบคุม ป้องกัน กำจัด อันตรายทางชีวภาพที่อาจเกิดขึ้นได้
3) อันตรายทางเคมี คือ อันตรายที่เกิดขึ้นจากสารเคมี ที่ก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพเมื่อเข้าสู่ร่างกาย เช่น สารเคมีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติหรือจากการเปลี่ยนแปลงทางชีวภาพ เช่น ฮีสตามีน Aflatoxin Mycotoxin เป็นต้น ยากำจัดศัตรูพืช สารเคมีทำความสะอาด สารหล่อลื่นเครื่องจักร วัตถุเจือปนอาหารไม่ได้ใช้ตามกฎหมายกำหนด สารก่อภูมิแพ้ในอาหาร สารกัมมันตภาพรังสี เป็นต้น
การควบคุมและป้องกันการเกิดอันตรายทางเคมี ทำได้โดยกรรมวิธีต่างๆ ทั้งเรื่องของการควบคุมการปนเปื้อนในห่วงโซ่อาหาร การควบคุมการตกค้างต่างๆ การควบคุมสารก่อภูมิแพ้โดยการระบุบนฉลาก การป้องกันการปนเปื้อนของสารก่อภูมิแพ้ การควบคุมชนิดและปริมาณสารเคมี เป็นต้น
จะเห็นได้ว่าอันตรายทางอาหารเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่ไกลตัวของผู้บริโภคเกินไป ตัวอย่างอันตรายทางอาหารเหล่านี้มีให้เราเห็นได้ทั่วไปตามข่าวทั้งในและนอกประเทศ บางคนก็เป็นผู้ประสบปัญหาเองด้วยซ้ำ การเข้าใจในเรื่องของอันตรายทางอาหารในรูปแบบต่างๆจะช่วยให้เราระมัดระวังเพิ่มขึ้นและก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพลดลง ขณะเดียวกันทางฝั่งของผู้ประกอบการหรือผู้ที่คิดจะประกอบการ การทำความเข้าใจเรื่องเหล่านี้ไว้จะส่งผลให้สามารถวางมาตรการป้องกันและควบคุมกระบวนการผลิตหรือทั้งห่วงโซ่อาหารเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายทางอาหารที่อาจเกิดขึ้นต่อผู้บริโภคผลิตภัณฑ์และอาจส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของผู้ประกอบการ หรืออาจพูดได้เต็มๆคำว่า “กันไว้ดีกว่าแก้” ขอให้ผู้บริโภคและผู้ผลิตทุกท่านปลอดภัยจากอันตรายทางอาหารทุกประการ
ผัก ปลอดสารพิษ และ ออร์แกนิก แตกต่างกันอย่างไร?
ถึงแม้ คำว่า ปลอดสารพิษ และ ออร์แกนิก จะแพร่หลายอย่างมากขึ้นในกลุ่มคนทั่วไปและในกลุ่มคนรักสุขภาพ เนื่องจากปัจจุบันผู้คนหันมาใส่ใจในเรื่องนี้กันมากขึ้นซึ่งมาจากหลายสาเหตุ อย่างไรก็ตามความรู้ด้านนี้อาจยังไม่เป็นที่รู้กันทั่วถึงหรือเข้าใจกันมากนัก บางท่านอาจเข้าใจว่าปลอดสารพิษ เป็นออร์แกนิกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบ ปลอดสารพิษ หรือออร์แกนิกนั้น หากเรารับประทานสิ่งที่ปลอดสาร นั่นย่อมดีกว่ามีสารตกค้างหรือสารปนเปื้อน เป็นที่แน่นอน
แล้ว ปลอดสารพิษ คืออย่างเดียวกับ ออร์แกนิก ไหม?
ผักปลอดสารพิษ คืออะไร?
โดยตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 163 พ.ศ. 2538 ให้คำนิยามว่า ผักปลอดสารพิษ คือผักที่มีระบบการผลิตที่ใช้สารเคมีในการป้องกันและปราบศัตรูพืช รวมทั้งปุ๋ยเคมีเพื่อการเจริญเติบโตของพืช แต่ให้เว้นช่วงการใช้สารเคมีก่อนการเก็บเกี่ยว ซึ่งผลผลิตที่ได้ยังมีสารเคมีตกค้าง แต่ไม่เกินในปริมาณที่กำหนดเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค โดยให้มีการขอใบรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ได้ใบรับรองผักปลอดสารพิษ
โดยหลักแล้วประเภทของ ผักปลอดสาร แบ่งเป็น 4 ประเภท ดังนี้
1. ผักปลอดสารเคมี (PESTICIDE FREE)
การปลูกผักปลอดสารเคมีประเภทแรกนี้จะเน้นการควบคุม การใช้สารเคมีในการปลูก แต่จะไม่ใช้สารเคมีใน การกำจัดแมลง (จะยังคงใช้ปุ๋ยเคมีและฮอร์โมน เร่งผลผลิต) หากแต่เป็นสารเคมีที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ผลผลิตที่เก็บเกี่ยวจะต้องมีสารเคมี ตกค้างไม่เกินปริมาณที่กำหนดไว้ เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค โดยมีหน่วยงานรับรองมาตรฐานจากกรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่าไม่มี สารตกค้างเกินระดับมาตรฐานที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดไว้ จึงแน่ใจว่าเป็นผักปลอดสารเคมี
2. ผักอนามัย (PESTICIDE SAFE)
ผักอนามัยหรือที่เรารู้จักกันในชื่อของ “ผักกางมุ้ง” เป็นผักที่ยังคงใช้สารเคมีเพื่อการเจริญเติบโตและใช้สารกำจัดแมลง แต่จะเป็นสารเคมีที่มีพิษตกค้างในระยะสั้น และหยุดฉีดพ่นสารเคมีก่อนการเก็บเกี่ยว ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ การปลูกผักประเภทนี้มีอยู่ 2 แบบ คือ การปลูกโดยใช้มุ้งตาข่ายหรือการกางมุ้ง และอีกแบบคือการปลูก แบบไม่ใช้มุ้งตาข่าย แต่เน้นการป้องกันกำจัดศัตรูพืชแบบผสมผสาน คือเน้นปลูกผักตามฤดูร่วมกับผักประเภทกะหล่ำปลี ตั้งโอ๋ ซึ่งช่วยลดการระบาดของแมลง และยังเป็นผลดีต่อการตลาด เพราะมีผักหลายชนิดจำหน่าย ส่วนการรับรองมาตรฐานจะใช้หลักเกณฑ์เดียวกับผักปลอดสารพิษ
3. ผักเกษตรอินทรีย์ (ORGANIC FARMING)
เรารู้จักผักชนิดนี้ในชื่อเรียกว่า “ผักออร์แกนิก” เป็นผักที่ปลูกด้วยวิธีธรรมชาติ ไม่ใช้เมล็ดพันธุ์ที่ ผ่านการตัดต่อพันธุกรรม (จีเอ็มโอ : GMO) ไม่ใช้สารเคมีใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยเคมี ยาปราบศัตรูพืช ยาฆ่าแมลง หรือฮอร์โมนต่าง ๆ การผลิตผักประเภทนี้จะเน้นใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยชีวภาพ ส่วนการกำจัดศัตรูพืชจะใช้สารเคมีที่ผลิตจากธรรมชาติ เช่น สะเดา โล่ติ๊น จึงปลอดภัยต่อสุขภาพและไม่ทำลายสภาพแวดล้อม
4.ผักไฮโดรโปนิกส์ (HYDROPONICS)
การปลูกผักประเภทนี้เป็นการปลูกโดยใช้น้ำแทนดิน โดยผสมอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตลงในน้ำ รากพืชที่สัมผัสน้ำจะดูดซึมสาร อาหารที่สะสมไว้ที่ใบ ส่วนรากที่ไม่สัมผัสน้ำจะทำหน้าที่รับออกซิเจน ผักที่นิยมปลูกประเภทนี้ เป็นผักสลัดพันธุ์ต่าง ๆ ซึ่งต้องนำเข้าเมล็ดพันธุ์จากต่างประเทศ
ออร์แกนิก คืออะไร ?
ผักออร์แกนิกนั้นปลูกด้วยวิธีธรรมชาติร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่สัมผัสการใช้สารเคมีสังเคราะห์ทุกขั้นตอนการผลิต ปลูกตามฤดูกาลที่เหมาะสมของพืชชนิดนั้นๆ เพื่อให้เติบโตอย่างเป็น ‘ธรรมชาติ’ ที่สุด อาทิ การใช้สมุนไพรธรรมชาติในการไล่ศัตรูพืชแทนที่ยาฆ่าแมลง ใช้ปุ๋ยอินทรีย์แทนปุ๋ยเคมี และแน่นอนว่ารวมถึงการไม่ใช้เมล็ดพืชที่ตัดต่อพันธุกรรมมาแล้วเพื่อให้ได้สายพันธุ์ตามธรรมชาติ เท่านั้นไม่พอ ความออร์แกนิกนี้ยังรวมไปถึงการจัดส่งไปจนถึงการจำหน่ายว่าต้องสดใหม่และไม่ปนเปื้อนสารเคมีใดๆ และด้วยการผลิตที่อาจยุ่งยากกว่าการใช้ทางลัด เพราะต้องคำนึงหลายปัจจัย นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพืชผักออร์แกนิกถึงมีราคาสูงกว่าปกติ เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกที่เราแทบจะไม่เห็นว่าถูกกว่าผลิตภัณฑ์อื่นๆ ตามท้องตลาดเลยนั่นเอง
ผักปลอดสารและผักออร์แกนิก ดีกว่าผักทั่วไป ?
สำหรับการเลือกสินค้า ไม่ว่าจะเป็นอาหาร หรือ เครื่องอุปโภค บริโภค ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือก ที่ช่วยลดการรับสารเคมีต่างๆ เข้าสู่ร่างกาย ดังที่กล่าวไปข้างต้น ผักปลอดสารพิษมีหลายแบบตั้งแต่มีสารเคมีในระดับต่ำไปจนถึงไม่มีสารเคมีเลย หรือเป็นระบบ Organic ที่ปลอดภัยตั้งแต่ระบบปลูกจนถึงจานของเรา ซึ่งแน่นอนว่าย่อมดีกว่าผักทั่วไปในเรื่องของความปลอดภัยนั่นเอง โอกาสที่จะเสี่ยงต่อการปนเปื้อนของสารเคมีในปริมาณสูงเป็นไปได้น้อย อีกทั้งยังช่วยปกป้องดูแลร่างกายของเราให้ห่างไกลจากการสะสมสารเคมีตกค้างที่อยู่ในผักเป็นระยะเวลายาว ซึ่งอาจจะส่งผลเสียต่อร่างกายในระยะยาวได้ อย่างไรก็ตาม มาตรฐานเป็นเรื่องที่สำคัญ เพื่อปลอดภัยต่อผู้บริโภคและ/หรือตัวผู้ผลิตเอง
การตรวจวิเคราะห์ผักปลอดสารพิษและผักออร์แกนิกใช้หลักการดังนี้
1. บริการตรวจวิเคราะห์หาสารพิษตกค้าง ที่เกิดจากการใช้วัตถุอันตรายทางการเกษตร (Pesticide residue) เช่น สารเคมีกําจัดแมลง (Insecticide) เช่น กลุ่มออร์กาโนคลอรีน (Organochlorine group), กลุ่มออร์กาโนฟอสเฟต (Organophosphate group), กลุ่มคาร์บาเมต (Carbamate group) และกลุ่มไพรีทรอยด์ (Pyrethroids group)
2. บริการตรวจวิเคราะห์หาโลหะหนัก เช่น สารหนู (Arsenic), แคดเมียม (Cadmium) และตะกั่ว (Lead) เป็นต้น
3. บริการตรวจวิเคราะห์พืชดัดแปลงพันธุกรรม (GMOs) โดยรายการนี้ตรวจในกลุ่ม พืช ผัก ผลไม้
บริการตรวจวิเคราะห์อาหารสัตว์ ดังนี้
1. ตรวจวิเคราะห์สารพิษตกค้าง ที่เกิดจากการใช้วัตถุอันตรายทางการเกษตร (Pesticide residue) เช่น สารเคมีกําจัดแมลง (Insecticide) เช่น กลุ่มออร์กาโนคลอรีน (Organochlorine group), กลุ่มออร์กาโนฟอสเฟต (Organophosphate group), กลุ่มคาร์บาเมต (Carbamate group) และกลุ่มไพรีทรอยด์ (Pyrethroids group)
2. ตรวจวิเคราะห์โลหะหนัก เช่น สารหนู (Arsenic), แคดเมียม (Cadmium) และตะกั่ว (Lead) เป็นต้น
3. ตรวจวิเคราะห์ยาสัตว์ตกค้าง เช่น
- Chloramphenicol
- Tetracycline group (Chlortetracycline / Oxytetracycline/ Tetracycline)
- Nitrofuran (Parent Drug) มีสาร Nitrofurazone (NFZ), Nitrofurantoin (NFT), Furazolidone (FZD), Furaltadone (FTD)
- Nitrofurans (Metabolite) มีสาร Semicarbazide (SEM), 1-Aminohydantoin (AHD), 3-Amino-5-Methyl-morpholino-2-oxazolidinone(AMOZ), 3-Amino-2-oxazolidinone (AOZ)
บริการตรวจวิเคราะห์เนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์ ดังนี้
1. ตรวจวิเคราะห์สารพิษตกค้าง (Pesticide residue) เช่น กลุ่มออร์กาโนคลอรีน (Organochlorine group), กลุ่มออร์กาโนฟอสเฟต (Organophosphate group), กลุ่มคาร์บาเมต (Carbamate group) และกลุ่มไพรีทรอยด์ (Pyrethroids group) เป็นต้น
2. ตรวจวิเคราะห์โลหะหนัก เช่น สารหนู (Arsenic), ตะกั่ว (Lead), ปรอททั้งหมด (Mercury) และดีบุก (Tin) เป็นต้น
3. ตรวจวิเคราะห์ยาสัตว์ตกค้าง เช่น
- Amoxicillin,
- Chloramphenicol
- Erythromycin
- Nitrofuran (Parent Drug) มีสาร Nitrofurazone (NFZ), Nitrofurantoin (NFT), Furazolidone (FZD), Furaltadone (FTD)
- Nitrofurans (Metabolite) มีสาร Semicarbazide (SEM), 1-Aminohydantoin (AHD), 3-Amino-5-Methyl-morpholino-2-oxazolidinone(AMOZ), 3-Amino-2-oxazolidinone (AOZ)
- Tetracycline group (Chlortetracycline / Oxytetracycline/ Tetracycline)
- Sulfonamides group
ตรวจวิเคราะห์ด้านประมง ดังนี้
1. กุ้งทะเล ปลาทะเล กุ้งน้ำจืด ปลาน้ำจืด และสัตว์น้ำเพื่อการบริโภคทุกชนิด ตรวจวิเคราะห์ ยาสัตว์ตกค้าง จำนวน 8 รายการดังนี้
- Chloramphenicol
- Chlortetracycline
- Oxytetracycline
- Oxolinic acid
- Nitrofurans
- Fluoroquinolones
- Malachite-green & Leuco malachite-green
- Tetracycline
2. ตัวอย่างน้ำจากบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ จำนวน 9 รายการดังนี้
- Dissolved Oxygen (DO)
- pH
- Temperature
- Transparency
- Suspended Solids
- Alkalinity
- Hardness
- Nitrite (NO2 –)
- Total Ammonia (NH3-N)
3. น้ำทิ้งจากบ่อเพาะเลี้ยง จำนวน 7 รายการดังนี้
- Biochemical Oxygen Demand (BOD)
- Suspended Solids
- Total Ammonia (NH3-N)
- Total Phosphorus
- Total Nitrogen
- Hydrogen sulfide (H2S)
- pH
ปฎิเสธไม่ได้เลยว่า อาหารเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญต่อร่างกายมาก การจะเกิดผลดีหรือผลเสียนั้น ขึ้นอยู่กับการเลือกรับประทานอาหารให้เหมาะสมเพราะร่างกายจะนำวิตามิน เเละสารอาปารไปพัฒนา ซ่อมเเซมส่วนต่างๆ ของร่างกาย ควรลดอาหารที่มีเเคลอรี่สูง ไขมันเยอะ ทางที่ดีควรเลือกรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในปริมาณที่เหมาะสม เเละของที่มีเเต่ประโยชน์นะครับ
เมื่อทำกิจวัตรต่างๆ ในเเต่ละวันเสร็จเรียบร้อยเเล้ว การพักผ่อนที่ดีที่สุด คือ การนอน เพราะร่างกานจะได้ซ่อมเเซมฟื้นฟูได้อย่างเต็มที่ ควรนอนให้ครบ 8 ชั่วโมง เเละนนอให้เป็นเวลา เพราะหากนอนดึกเกินไปร่างกายอาจเหนื่อยล้าได้ อีกทั้งยังมีผลเสียตามมามากมาย การพักผ่อนเพียงพอจะทำให้การตื่นเช้ามารับวันใหม่สดชื่น เเละตื่นตัวตลอดทั้งวัน สุขภาพก็จะดีตามไปด้วย
เมื่อเวลาว่างตรงกัน ลองชวนคนที่คุณรักไปทำกิจกรรมต่างๆ เช่นดูหนัง เดินห้าง ทานข้าวนอกบ้าน ดีกว่าการอยู่บ้านเเล้วเล่นเเต่โทรศัพท์ทั้งวัน เพราะจะทำให้เกิดผลเสียที่หลายคนอาจมองข้าม ทั้ง จอประสาทตาเสีย เสียสมาธิ เเละทำให้ปวดศรีษะได้
การทำให้สมองมีความฉลาดหลักแหลมนั้นเราต้องฝึก เเละทำในสิ่งที่ท้าทายโดยการทำกิจกรรมฝึกสมองประจำจะมีสมองที่ชาญฉลาดมากกว่าคนที่นั่งเฉยๆ เเละไม่ฝึกทำอะไรเลย การฟังวิทยุ การเล่นเกม หรือการเรียนภาษาเพิ่มเติม สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้สมองมีการพัฒนามากขึ้น
การออกกำลังกายนอกจากจะได้สุขภาพที่ดี เพราะอวัยวะภายในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเเล้ว ยังทำให้เรามีภูมิต้านทาน ห่างไกลโรคภัยต่างๆ สุขภาพจิตก็ดีตามไปด้วย ควรออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาทีหลังเลิกงาน เเต่หากใครไม่มีเวลาจริงๆ งานบ้านก็อาจช่วยได้เหมือนกัน เเถมยังทำให้บ้านสะอาดเรียบร้อยอีกด้วยนะครับ
ในธุรกิจของคุณ
ให้คุณได้บริหารจัดการกับชีวิตส่วนตัวของคุณ
และการจัดรูปแบบการทำงานได้เอง (work life balance)
ยืดหยุ่น
พร้อมเลือกได้ว่าต้องการสร้างรายได้มากเท่าใดใช้เวลามากน้อยขนาดไหน
เพราะความสำเร็จกับโอกาสของเราคุณจะสร้างได้ ไม่มีขีดเวลาจำกัด
พิสูจน์มาแล้วด้วยระยะเวลามากกว่า 60 ปี ที่เราให้ความสำคัญและ สนับสนุนคุณทุกคนเพื่อการบรรลุทุกเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายชีวิตความฝันของคุณจะเป็นอะไรก็ตามเราพร้อมตอบสนอง
ระบบการตลาดเครือข่ายหลายชั้น (Multi-Level
Marketing หรือ MLM) เป็นช่องทางการทำธุรกิจหรือการตลาด
ที่ใช้หลักการกระจายสินค้าด้วยตัวของผู้บริโภคสินค้าโดยตรงเป็นสำคัญ
ในลักษณะของการเป็นนักธุรกิจอิสระหรือผู้บริโภคอิสระ (ไม่ใช่ลูกจ้างของบริษัท)
ซึ่งจะสมัครเป็นสมาชิกของบริษัทเครือข่าย
เพื่อร่วมรับสิทธิ์ในผลประโยชน์ทางการตลาดต่างๆเป็นค่าตอบแทน
Multi-Level คือ
ต่างระดับชั้นสูงขึ้นไปและลึกลงไปจากตัวคุณ คือปันผลที่เราจะได้รับ
ส่วนระดับบนขึ้นไปจะสร้างปันผลเป็นคะแนนให้กับสายงานที่สมัครก่อนคุณและทำงานมีผลงานเข้าคุณสมบัติของแผนธุรกิจจึงจะได้ปันผล
ด้วยเงื่อนไขที่แผนกำหนดให้ปันผลจะเกิดขึ้นเมื่อมีความสำเร็จ
ธุรกิจนี้จึงช่วยเหลือกันไม่ว่าด้านบนหรือด้านลึก
จึงรวมตัวกันเป็นสังคมแห่งการแบ่งปันนั่นเอง
ทุกคนมีโอกาสสร้างรายได้จากการทำงาน 2
วิธีรวมกัน ดังนี้
1. ปันผลกำไรจากการขายปลีก
2. ปันผลสะสมของกลุ่มคุณทั้งหมดคือปันผลเป็นแบบ
ส่วนลดตามแผนธุรกิจ ตามระดับยอดของการบริโภคสินค้า/บริการที่มีการสั่งซื้อจากระบบ
3. ช่วยสมาชิกของคุณให้ประสบความสำเร็จ
เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ทุกคนจะได้รับความสำคัญ
จะได้รับการช่วยเหลือให้ประสบความสำเร็จข่อใดข้อหนึ่งตามปณิทานของสองผู้ก่อตั้งธุรกิจ
4.หยุดทำแล้วมีรายได้ เมื่อคุณประสบความสำเร็จจากการช่วยผู้คนให้สำเร็จเป็นเจ้าของธุรกิจของตัวเขาเองตัดขาดออกจากการบริการของคุณเมื่อพวกเขา
สินค้ากว่า 500 รายการให้คุณเป็นเจ้าของเครือข่ายผู้ใช้ เพื่อสร้างปันผลเป็นรายได้ให้คุณ 10 ขั้นตอน หลายชั้นหลายรุ่น
สุขภาพ
ความงาม
เรือนร่าง
บ้านและเทคโนโลยี
https://www.amway.co.th/bizopp-landing-page?srsltid=AfmBOopJ-X-q8Qxr634z2kwLIk1nUlJ-E0H_cIHFxTtN_B-gDJNsf-0h
ประโยชน์ของการสร้างเครือข่ายให้กับธุรกิจ









ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น